ลดหย่อนกับไม่ลดหย่อนภาษี…อย่างไหนดีกว่ากัน?

ลดหย่อนกับไม่ลดหย่อนภาษี…อย่างไหนดีกว่ากัน?

 

เคยสงสัยไหมว่าระหว่างการลดหย่อนภาษีทุกเม็ด กับการไม่ลดหย่อนภาษี มีเงินได้สุทธิเท่าไหร่ก็คำนวณภาษีจ่ายเท่านั้นเลย อันไหนถึงจะคุ้มค่าหรือดีกว่ากัน? วันนี้ผู้เขียนก็เลยมีเรื่องมาเล่าให้ทุกคนฟังกัน


ณ บ้านหลังหนึ่ง มีครอบครัวหนึ่ง มีลูกชายฝาแฝดชื่อว่า โจโจ และบ๊อบบ๊อบ

ทั้งคู่เติบโตขึ้นจนเข้าสู่วัยทำงาน ทั้งสองคนมีเงินได้ทั้งเงินเดือนและโบนัสรวมแล้วอยู่ที่ 260,000 บาทต่อปี


หลังหักลดหย่อนตัวเองไป เหลือเงินได้สุทธิ 200,000 บาท ซึ่งเกินมาจากกรอบ 150,000 อยู่เป็นจำนวน 50,000 บาท ทำให้ทั้งคู่ต้องจ่ายภาษีอยู่ที่ฐาน 5% ของเงิน 50,000 หรือเท่ากับ 2,500 บาท

โจโจผู้เป็นคนอยากประหยัดภาษีให้ได้มากที่สุด ไม่อยากจ่ายภาษีเลย จึงไปลดหย่อนภาษีโดยการไปซื้อ LTF เต็มจำนวนไม่เกิน 15% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษี อยู่ที่ 30,000 บาท


ถามว่า แล้ว RMF ล่ะต้องซื้อ 30,000 บาทด้วยใช่ไหม?

จริงๆ ก็ซื้อได้ เพราะ RMF มีกฏเดียวกันคือซื้อได้ไม่เกิน 15% ของรายได้สุทธิ แต่โจโจเห็นว่าไม่จำเป็นต้องซื้อ 30,000 ทีเดียว เพราะซื้อเพียง 20,000 บาทก็จะทำให้หลุดจากกรอบซึ่งอยู่ที่ 150,000 แล้ว ทำให้ไม่ต้องเสียภาษี


ดังนั้น ส่วนอีก 20,000 บาทที่เกินมาจาก 150,000 บาท จึงถูกนำไปซื้อ RMF (สมมติใช้เพียงสองอย่างนี้เพื่อความง่าย) เพราะคิดว่ามีแต่ได้กับได้ ได้แรกไม่ต้องเสียภาษี ได้ที่สอง เงินที่เอาไปซื้อทั้ง LTF และ RMF ก็ได้ตอนขายในอนาคตแน่ๆ เงินไม่หายไปไหนหรอก เพราะเป็นการออมเงินอย่างหนึ่งในขณะที่บ๊อบบ๊อบมองว่าเงินแค่ 2,500 จ่ายภาษีไปเถอะ แล้วเอาเงิน 50,000 ที่จะต้องไปจ่ายเพื่อให้ได้ลดหย่อนไปใช้ดีกว่า 


เมื่อกาลเวลาผ่านไป ทั้งคู่มีเงินได้สุทธิอยู่ที่ 1,050,000 บาทต่อปี ต้องเสียภาษีเป็นจำนวน

7,500+20,000+37,500+50,000+12,500 = 127,500 บาท

ซึ่งก็คือฐานภาษี 25%

ทั้งสองคนยังมีความคิดแบบเดิม


โจโจอยากลดหย่อนให้ได้มากที่สุด ยังคงใช้ LTF และ RMF (สมมติใช้เพียงสองอย่างนี้เพื่อความง่าย) โดยซื้อเต็มเพดานที่กฎหมายกำหนดให้ คืออย่างละ 15% ของรายได้ที่ต้องเสียภาษี เท่ากับ 157,500 บาท รวมทั้งสองอย่างเท่ากับ 315,000 บาท คิดเป็น 30% ของรายรับ

ทำให้เงินได้สุทธิหลังจากหักลดหย่อนทั้งสองอย่างนี้ลดลงไปอยู่ที่ 735,000 บาท คือจะไปตกฐาน 15% แทนที่จะเป็น 25% เหมือนตอนแรก ทำให้ต้องภาษีแค่…


7,500+20,000+35,250 = 62,750 บาท

ดังนั้นโจโจสามารถประหยัดภาษีที่จะต้องเสียไปได้ 127,500 – 62,750 = 64,750 บาท หรือคิดเป็นครึ่งหนึ่งของภาษีที่ต้องจ่ายถ้าไม่ลดหย่อน แต่โจโจก็ต้องจ่ายซื้อ LTF และ RMF ถึง 315,000 บาท  และต้องลงทุนอย่างต่อเนื่องตามเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดด้วย


ในขณะที่บ๊อบบ๊อบ ที่ยังคงยืนกรานและถือคติที่ว่าไม่ลดหย่อนภาษีแล้วเอาเงินไปใช้ หรือไปเอาไปทำอย่างอื่นดีกว่า ทำให้ต้องจ่ายภาษีทั้งหมด 127,500 บาท หรือคิดเป็น 12.14% ของรายได้

(เงินล้าน) ลดหย่อนกับไม่ลดหย่อนภาษี...อย่างไหนดีกว่ากัน?

หลังจากอ่านนิทานข้างบนจบแล้ว หลายคนอาจจะมีคำตอบอยู่ในใจแล้วว่าถ้ามีเงินได้สุทธิเท่ากับที่ทั้งสองคนมี คุณจะเป็นแบบโจโจหรือบ๊อบบ๊อบ หรืออาจจะไม่เป็นทั้งคู่


แต่หากถามความเห็นของผู้เขียนว่า ผู้เขียนมองเรื่องนี้อย่างไร ก็คงจะตอบว่าถ้าเป็น first jobber ที่มีเงินได้สุทธิ 200,000 บาท ผู้เขียนก็คงเป็นแบบบ๊อบบ๊อบ เพราะเราเพิ่งเริ่มทำงาน เงินเดือนเรายังไม่มาก ภาษีที่ต้องเสียก็ยังไม่เยอะ พอจ่ายได้ ทำให้อาจจะไม่จำเป็นต้องพยายามหาอะไรมาลดหย่อนเพิ่มเติมก็ได้  ถ้าสิ่งนั้นเรามองว่าไม่จำเป็น หรือถ้าใช้ไป จะมาเบียดเบียนความสุขในชีวิตเราเกินไป เพราะเงินที่ต้องจ่ายเพื่อให้ได้ลดหย่อนนั้นเป็นจำนวนเงินที่สูงหรือเป็นสัดส่วนที่มากเกินไป จึงอาจจะไม่คุ้มค่าในมุมของผู้เขียน

แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนที่เป็นแบบโจโจจะผิด เพราะสิ่งที่โจโจทำก็เป็นสิ่งที่เขามองว่าคุ้มค่า เขาพอใจกับการเอาเงินไปเก็บออมเพื่ออนาคต และลดหย่อนภาษีในทีเดียวกัน


เช่นเดียวกับเมื่อเราโตขึ้น เงินเดือนเราเพิ่มขึ้น ฐานภาษีสูงขึ้น เพดานในการลดหย่อนก็สูงตาม ทำให้ภาษีที่ประหยัดได้ก็สูงตามฐานภาษีไปด้วย  เรายิ่งต้องคิดถึงว่าสิ่งไหนมันคุ้มค่าสำหรับเรา เมื่อไหร่ที่เรารู้สึกว่าเงินที่จ่ายไปเพื่อได้ใช้สิทธิ์ลดหย่อนนั้นคุ้มค่า เราก็ควรใช้ลดหย่อน

แต่อย่าลืมว่าความคุ้มค่าของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน อย่าให้ใครมาบอกว่าต้องเป็นแบบโจโจ หรือบ๊อบบ๊อบ มีแต่ตัวคุณเองที่ต้องเลือกสิ่งที่เหมาะสมที่สุดให้กับตัวเอง ไม่มีใครรู้ดีกว่าตัวเอง

แล้วตอนนี้คุณอยากเป็นแบบไหนล่ะ?

สามารถอ่าน  บทความเกี่ยวกับภาษี และ บทความน่าสนใจอื่นๆได้ ที่นี้

ที่มา : www.finnomena.com

 976
ผู้เข้าชม
ทำเว็บธุรกิจ ทําเว็บขายของ ออกแบบเว็บไซต์ เว็บไซต์สำเร็จรูป SoGoodWeb

HR Articles

1.ไม่เป็นไร ผิดพลาดกันได้ ไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทำงานผิดพลาดแล้วยังจะมานั่งโทษตัวเองให้เหนื่อยทำไม ให้กำลังใจตัวเองเพื่อทำงานชิ้นต่อไปดีกว่า ยิ่งเรามัวจมกับความผิดพลาดเดิม ๆ เราก็จะทำงานอื่นต่อไม่ได้ สู้เอาความผิดพลาดมาทำให้ถูกต้องในงานชิ้นใหม่ดีกว่า สัจธรรมของชีวิตที่ต้องจำไว้อย่างหนึ่งก็คือ ไม่มีใครจำเรื่องของคนอื่นนานหรอก ถึงใครจะว่าเรามากมายแค่ไหน แต่พอเดินพ้นหน้าเราไปเขาก็ต้องคิดเรื่องอื่นแทน แล้วเราจะมาลงโทษตัวเองอยู่ทำไม 2.งานไม่ได้หนักทุกวันสักหน่อย เดี๋ยวก็ได้พักแล้ว เวลางานล้นมือเราอาจท้อ แต่ท้อไปงานก็ไม่เสร็จ ลุกมาทุ่มเททำให้เสร็จ ๆ ไปดีกว่า เหนื่อยแค่ไหนเดี๋ยวก็ได้พัก และสิ่งที่เราต้องทำเมื่องานเยอะ คือจัดระเบียบเส้นตายของงานแต่ละชิ้น เจรจาต่อรองถ้าคิดว่าจะไม่เสร็จตรงเวลา แล้วก็ค่อย ๆ ทำไปทีละงาน เดี๋ยวดีเอง 3.ถึงจะไม่เก่งงานนี้ แต่เราก็พยายามเต็มที่แล้ว บ่อยครั้งที่เราได้รับมอบหมายงานที่ไม่ถนัด ก็คิดเสียว่าไม่เป็นไร ทำให้เต็มที่ แต่ก่อนทำก็บอกคนที่มอบหมายหน่อยว่าไม่ค่อยถนัดนะ แต่จะทำเต็มที่ ผิดพลาดอะไรก็บอกได้ เขาจะได้ไม่คาดหวังมาก แต่ถ้าทำออกมาแล้วดีก็ถือเป็นกำไร อย่าเสียใจที่ทำงานบางประเภทไม่เก่ง เพราะเราก็อาจจะเก่งในงานประเภทอื่นก็ได้ จำไว้ว่าปลาอาจจะว่ายน้ำเก่งกว่าลูกสุนัข แต่ปลาก็วิ่งไม่ได้เหมือนกัน ถ้าปลาตัวหน่งจะโดดขึ้นมาบนบกแล้วคืบคลานจนถลอกปอกเปิกก็คงไม่มีใครว่าอะไร เพราะมันเป็นปลาจริงไหม
1336 ผู้เข้าชม
อย่างที่ทราบกันดีว่า ในปี 2563 เป็นปีที่เริ่มต้นการเก็บภาษีที่ดินใหม่ หรือที่เรียกกันอย่างเป็นทางการว่า พระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างปี 2562 (พ.ร.บ. ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง) โดยในครั้งแรกประกาศให้เริ่มจัดเก็บไปเป็นเดือนสิงหาคม 2563 แทน
1951 ผู้เข้าชม
ตัวอย่างการเขียนเรซูเม่งานโปรแกรมเมอร์ สมประสงค์ พงพันอาภา 45/54ถนน ลาดพร้าว แขวงลาดยาว เขตจตุจักร กทม. 10900 โทร 02-512-1212, 085-522-5555 surapongsa@hotmail.com จุดมุ่งหมายทางอาชีพ • สามารถนำวิชาความรู้ด้านโปรแกรมคอมพิวเตอร์ มาใช้ในการออกแบบพัฒนาเว็บไซต์ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้ใช้เว็บไซต์มากที่สุด การศึกษา • พ.ศ. 2545 - 2548 • ปริญญาตรี วิศวกรรมคอมพิวเตอร์ มหาวิทยาลัย............... • เกรดเฉลี่ย 3.50 ประสบการณ์ • พ.ศ. 2551- ปัจจุบัน รับงานอิสระ ออกแบบเว็บไซต์ เขียนโปรแกรมและพัฒนาเว็บไซต์ พ.ศ. 2548-2552 โปรแกรมเมอร์ บริษัท.................... เขียน Web application โดยใช้ภาษา php หรือ asp.net กิจกรรม • พ.ศ. 2545 – 2548 สมาชิกชมรมคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยีสารสนเทศ ของมหาวิทยาลัย ความสามารถด้านภาษา • สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้ดี • คะแนน TOEIC 560 ความสามารถด้านคอมพิวเตอร์ • มีความรู้เกี่ยวกับ Database MSSQL,MySQL • มีทักษะในการใช้ภาษา PHP หรือ ASP.NET (VB, C#) เป็นอย่างดี • มีความรู้และเข้าใจใน HTML, XML, JAVA Script, CSS ความพร้อมในการเริ่มงาน • เริ่มงานได้ทันที
22264 ผู้เข้าชม
มีงานเขียนทำนอง White Paper ไม่ถึงกับเรียกว่าวิจัยทีเดียวนัก ชื่อว่า ระบบอัตโนมัติ : ผลกระทบต่อแรงงาน การบริหารทรัพยากรมนุษย์ในอนาคต จัดทำโดย สถาบันพัฒนาวิชาชีพทรัพยากรบุคคล (บทความวิจัยฉบับเต็ม เผยแพร่ในงาน HR Day สามารถหาอ่านได้จากเว็บของสมาคมฯ หรือสอบถามจากเจ้าหน้าที่สมาคม)
1144 ผู้เข้าชม
Get started for free today. DEMO FREE 60 DAYS
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์