• หน้าแรก

  • HR Articles (hide)

  • Creative Recruitment สร้างสรรค์การคัดสรรเพื่อดึงดูดพนักงานที่มีพรสวรรค์

Creative Recruitment สร้างสรรค์การคัดสรรเพื่อดึงดูดพนักงานที่มีพรสวรรค์

  • หน้าแรก

  • HR Articles (hide)

  • Creative Recruitment สร้างสรรค์การคัดสรรเพื่อดึงดูดพนักงานที่มีพรสวรรค์

Creative Recruitment สร้างสรรค์การคัดสรรเพื่อดึงดูดพนักงานที่มีพรสวรรค์



เราสามารถสร้างการคัดสรรพนักงานด้วยวิธีการที่ไม่เหมือนใครขึ้นมาได้ มากกว่าแค่การเรียกมานั่งสัมภาษณ์งานเท่านั้น ซึ่งกระบวนการต่างๆ สามารถที่จะทดสอบตลอดจนวัดค่าในมุมต่างๆ ได้เพิ่มขึ้นและมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย ที่สำคัญกระบวนการสรรหาที่คัดสรรนี้ยังช่วยสร้างการรับรู้ที่ดีในองค์กรได้เช่นกัน เราลองมาดูกันดีกว่าว่ามีวิธีการคัดสรรที่สร้างสรรค์อะไรที่น่าสนใจกันบ้าง

การคัดสรรพนักงานด้วยวิธีการสร้างสรรค์ (Creative Recruitment)

1.สัมภาษณะการแข่งขันกันเชิงทัศนคติ (Fighting Attitude Interview)

ยุคนี้เป็นยุคที่ใครๆ ต่างก็มีความสามารถกันทั้งนั้น แต่ในทางตรงกันข้ามยุคนี้เป็นยุคที่ตามหาคนที่มีทัศนคติที่ดีในการทำงานได้ยากกว่าเมื่อก่อนมากเช่นกัน หลายองค์กรในยุคนี้มองข้ามความสามารถเป็นหลักไป ไม่ใช่ว่าเขาจะไม่สนใจหรือไม่ใส่ใจ แต่สิ่งเหล่านั้นกลายเป็นการพิจารณาคุณสมบัติเบื้องต้นในด่านแรกตั้งแต่ใบสมัครและ Resume ไปแล้ว ซึ่งผู้ผ่านเข้ารอบทั้งหลายแทนที่จะมาสู่รอบสัมภาษณ์งานอย่างเมื่อก่อน แต่จะกลายเป็นว่าเชิญมาสัมภาษณ์เชิงทัศนคติแทน การสัมภาษณ์เชิงทัศนคตินั้นไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใดเลย เพราะทุกการสัมภาษณ์นั้นต่างก็มีการเช็คเรื่องทัศนคติอยู่แล้ว แต่เทรนด์ที่กำลังมาในยุคนี้ก็คือการแข่งขันกันด้านเชิงทัศนคติที่มีการเชิญผู้ถูกคัดเลือกมาเป็นกลุ่ม สัมภาษณ์ร่วมกัน เพื่อวัดทัศนคติโดยเฉพาะ

การสัมภาษณ์ในลักษณะการแข่งขันกันเชิงทัศนคติ (Fighting Attitude Interview) นี้เป็นการฟาดฟันความสามารถกันในรูปแบบ Soft Fighting มากกว่าที่จะฟาดฟันกันอย่างหนักหน่วงแบบ Hard Fighting ที่วัด Performance ด้านการทำงานกัน แต่การสัมภาษณ์ที่มีการต่อสู้กันในเชิงทัศนคตินี้จะไม่ได้เน้นการแข่งขันกับคู่แข่งคนอื่น แต่จะเน้นที่การแข่งขันกันของตัวผู้สมัครเองเสียมากกว่า เรียกได้ว่าใครเป็นตัวเองได้โดดเด่นที่สุด มีทัศนคติต่อตนเองและผู้อื่นได้ยอดเยี่ยมที่สุด มันจะเห็นกันได้ชัดเจนมากเมื่อทำการคัดเลือกแบบกลุ่มนี้

การคัดเลือกในลักษณะนี้ทำได้ไม่ยากเย็นเลย ไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากเสียด้วยซ้ำ เพียงแค่เป็นตัวของตัวเองให้ดีที่สุด ถ่ายทอดความเป็นตัวของตัวเองออกมาให้องค์กรสัมผัสให้ได้มากที่สุด แสดงความคิดเห็นในทัศนคติของเราให้มากที่สุด นั่นแหละคือสิ่งสำคัญที่สุด ทุกคำถามมักจะเป็นคำถามปลายเปิดให้เราแสดงทัศนะ หรือเป็นคำถามปลายปิดที่เฉพาะเจาะจงแต่มักเกี่ยวข้องกับประสบการณ์การทำงานของเราโดยตรงมากกว่า การตอบคำถามของผู้สมัครนั้นไม่ยากเลย แต่ในส่วนนี้จะมาหนักในส่วนของผู้ทำการคัดเลือกมากกว่าที่จะมีหลักเกณฑ์ตลอดจนจิตวิทยาในการคัดเลือกอย่างไร ซึ่งองค์กรจะคัดเลือกคนที่มีทัศนคติสอดคล้องกับองค์กรมากที่สุด เพื่อทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพที่สุด

2.การคัดสรรจากกระบวนการเวิร์คชอป (Workshop Recruitment Process)

การคัดสรรโดยใช้กระบวนการ Workshop นี้เป็นกระบวนการที่ทำกันมานานแล้ว แต่ก็ยังเป็นที่นิยมเฉพาะบางกลุ่มธุรกิจอยู่ เพราะถือว่าเป็นค่าใช้จ่ายที่สูงและสิ้นเปลืองพอสมควรเช่นกัน แต่สำหรับในยุคนี้ที่หลายองค์กรต่างก็สร้างสรรค์วิธีการสรรหารูปแบบใหม่ๆ ที่น่าสนใจมากขึ้นเรื่อยๆ การคัดสรรแบบกระบวนการ Workshop นี้จึงกลับมาได้รับความนิยมเพิ่มมากขึ้น และสร้างสรรค์ไปในหลายลักษณะทีเดียว

ถึงแม้ว่ากระบวนการคัดสรรนี้จะใช้เวลาค่อนข้างมาก และใช้การลงทุนที่สูงกว่าวิธีทั่วไป แต่การคัดสรรกระบวนการนี้จะทำให้เราได้เห็นวิธีการทำงานของแต่ละคนจริงๆ รวมถึงทัศนคติในการทำงานได้อีกด้วย ซึ่งเราจะเห็นฝีมือของผู้เข้าร่วมคัดเลือกเลยว่ามีศักยภาพในการทำงานมากน้อยแค่ไหน หรือมีศักยภาพที่จะส่งเสริมในด้านใดให้ก้าวหน้า ตลอดจนสามารถทำงานร่วมกับองค์กรได้หรือไม่ ซึ่งมันคุ้มค่าเป็นอย่างมากสำหรับการต้องการคัดสรรบุคลากรที่มีคุณภาพจริงๆ ทำงานให้กับองค์กรได้แน่นอน และมีแนวโน้มที่จะเป็นประโยชน์ต่อองค์กรได้ในระยะยาว

3.เข้าค่ายฝึกวิชาในหลากหลายทักษะ (Bootcamp)

จะว่าไปแล้วลักษณะของ Bootcamp นี้ก็คล้ายกับการ Workshop อยู่เหมือนกัน แต่หัวใจของ Bootcamp จากจุดเริ่มต้นจริงๆ นั้นชัดเจนกว่า Workshop ซึ่งนั่นก็คือการเข้าค่ายเพื่อคัดเลือกคนเข้าทำงานนั่นเอง โดยคำนี้เริ่มใช้ครั้งแรกๆ ในยุคปี ค.ศ.1898 ในการคัดเลือกคนเข้ารับราชการทาหารของกองทัพสหรัฐนั่นเอง ซึ่ง Boot นั้นมีความหมายหนึ่งว่า “การเริ่มต้นใหม่” เป็นความหมายตรงตัวว่าค่ายแห่งการเริ่มต้นใหม่ แต่ในขณะเดียวกันการฝึกทหารทุกคนต้องสวม Boot ซึ่งก็คือรองเท้าบูทด้วยนั่นเอง มันก็เลยกลายเป็นคำแสลงที่ใช้เรียกการเข้าข่ายลักษณะนี้ไปด้วย ซึ่งมันหมายถึงการเข้าค่ายที่มีการฝึกฝนเข้มช้นอย่างหนักดังค่ายทหารไปด้วยนั่นเอง

คำว่า Bootcamp กลับมามีความนิยมในยุคเทคโนโลยีนี้เป็นอย่างมาก เพราะปัจจุบันคนที่นำกลับมาใช้จนประสบความสำเร็จและกลายเป็นที่รู้จักในวงกว้างสำหรับนิยามใหม่ในยุคนี้ก็คือกลุ่ม Technology Business นั่นเอง โดยเฉพาะกลุ่ม Startup ทั่วโลกที่ปัจจุบันคำว่า Bootcamp กลายเป็นคำสามัญของแวดวงนี้ไปแล้วซึ่งมันมักหมายถึงแคมป์ที่คัดคนเข้าฝึกอบรมในหลากหลายทักษะในด้านการทำธุรกิจ Startup หรือ Tech Business นั่นเอง

โดยส่วนใหญ่แล้วการจัด Bootcamp นี้อาจไม่ใช่การเป็น Recruitment โดยตรงนัก แต่เป็นอีกหนึ่งช่องทางในการหางานตลอดจนสร้างธุรกจของตนเองสำหรับคนรุ่นใหม่ที่สนใจเทคโนโลยี ได้มีโอกาสฝึกฝนฝีมือตลอดจนได้รับการเทรนจากคนที่มีความสามารถหลากหลายด้าน หรือเป็นโอกาสที่จะทำให้เจอนักลงทุนเพื่อการจ้างงานได้เช่นกัน ในขณะเดียวกันคนเก่งๆ ที่เข้าร่วมนี้ก็จะได้รับการจับตามอง รวมถึงถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างๆ จีบไปทำงานได้อีกด้วย รวมถึงเชิญให้ไปร่วมงานหรือลงทุนภายใต้องค์กรใหญ่ที่มีชื่อเสียงต่างๆ ได้ด้วยเช่นกัน หรือในอีกทางหนึ่งผู้ที่เคยผ่าน Bootcamp เจ๋งๆ มาก็ถือว่าเป็น Profile การสมัครงานที่ยอดเยี่ยม ตลอดจนเป็นการสร้าง Resume ที่ดีสำหรับตนเองได้อีกด้วย

4.โปรแกรมการฝึกงานแบบฉบับพิเศษ (Special Internship Program)

การจัดโปรแกรมฝึกงานในรูปแบบพิเศษที่มีความเป็นจริงเป็นจังและมีความเฉพาะตัวนั้นเป็นที่นิยมในองค์กรขนาดใหญ่ตลอดจนองค์กรเชิงสร้างสรรค์เป็นอย่างมาก โดยโปรแกรมการฝึกงานนี้ไม่ใช่ว่าใครจะขอเข้ามาฝึกงานก็ได้ แต่ทุกคนจะต้องส่งประวัติของตนเองเพื่อมาคัดเลือกให้ได้เข้าร่วมโปรแกรมนี้ ซึ่งนี่คือด่านแรกที่องค์กรจะได้คัดสรรคนดีมีความสามารถเบื้องต้นจากโปรไฟล์ตลอดจน Resume ของแต่ละคนเอง

ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกจะได้รับเข้าโปรแกรมฝึกงานในแบบฉบับพิเศษที่องค์กรนั้นจัดขึ้นโดยเฉพาะ ได้ทดลองทำงานจริง ได้รับการสอนงานแบบเป็นจริงเป็นจัง รวมถึงบางองค์กรก็ได้ให้ผู้ที่เข้าร่วมโปรแกรมได้คิดค้นทดลองทำงานใหม่ของตนเองขึ้นมาอีกด้วย ซึ่งการฝึกงานแบบนี้จะได้รับการเทรนกันจริงๆ ไม่ใช่แค่การฝึกงานเก็บชั่วโมงเท่านั้น แล้วในขณะที่ฝึกงานนั้นทางองค์กรก็จะคอยสังเกตการณ์แต่ละคนรอบด้าน เพื่อคัดสรรคนที่มีศักยภาพที่องค์กรต้องการให้เข้าร่วมงานกับองค์กรนั่นเอง หรือใครที่ไม่ได้รับการคัดเลือกนั้นก็จะได้รับองค์ความรู้ที่ดีเยี่ยม พร้อมที่จะทำงานที่องค์กรอื่นได้อย่างมีประสิทธิภาพด้วย แถมยังเป็นโปรไฟล์ที่ดีสำหรับใส่ลงไปใน Resume อีกด้วย

5.การแก้โจทย์ปัญหา (Solution Recruitment)

การคัดเลือกคนโดยการแก้โจทย์ปัญหานี้เป็นวิธีการสรรหาพนักงานที่ค่อนข้างสร้างสรรค์มากๆ และเป็นอีกหนึ่งวิธีที่สามารถคัดสรรพนักงานได้ยอดเยี่ยมที่สุด โดยเฉพาะบรรดาพนักงานหัวกะทิทั้งหลาย ซึ่งบางครั้งองค์กรจะปล่อยโจทย์ปัญหาให้แก่ไข ใครสามารถแก้ได้ก็สามารถเข้ามาร่วมการสัมภาษณ์งานได้ หรือบางครั้งองค์กรเรียกมาสัมภาษณ์แล้วส่งโจทย์แก้ปัญหาให้ผู้สมัครไปลองทำเป็นการบ้าน ซึ่งโจทย์นี้อาจเป็นการแก้ปัญหาที่มีคำตอบ ไปจนถึงการหาวิธีการต่างๆ ที่จะนำมาแก้ไขปัญหาได้ดีที่สุด

6.แข่งกันพรีเซนต์เรซูเม่ (Creative Resume Challenging)

Resume เป็นสิ่งที่บ่งบอกตัวตนตลอดจนความสามารถของคนแต่ละคนได้ดีทีเดียว มีหลายองค์กรที่คัดสรรคนจากการสร้างสรรค์ Resume ของตนได้น่าสนใจอย่างแตกต่าง แล้วก็มีหลายองค์กรที่คัดสรรจากโปรเจกต์สร้างสรรค์ Resume ในธีมที่กำหนดอีกด้วย

7.กระบวนการสรรหาจากการจัดกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ (Team Building & Relationship Activity Recruitment)

การจัดกระบวนการกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ตลอดจนสร้างระบบทีมสัมพันธ์นั้นมักใช้กับกระบวนการพัฒนาศักยภาพพนักงานในองค์กร แต่มีบางองค์กรนำกระบวนการนี้มาใช้ในการคัดสรรพนักงานเข้าทำงานด้วยเช่นกัน โดยผู้ที่ได้รับการคัดเลือกจากประวัติเบื้องต้นจะถูกเชิญมาทำกิจกรรมกลุ่มสัมพันธ์ร่วมกัน เพื่อดูพฤติกรรมของผู้สมัคร โดยเฉพาะในเรื่องภาวะการเป็นผู้นำและการบริหารควบคุมการทำงานกับผู้อื่น ตลอดจนการจัดการกับปัญหาเฉพาะหน้า เป็นต้น ซึ่งภาวะเหล่านี้สำคัญในการทำงานเช่นกัน โดยเฉพาะตำแหน่งที่เป็นผู้นำทั้งหลาย หลังจากนั้นองค์กรจึงคัดสรรพนักงานที่มีคุณสมบัติตามต้องการได้ วิธีการนี้อาจใช้เวลานานและเปลื่องงบประมาณ แต่ก็คุ้มค่าที่จะได้คนที่มีคุณสมบัติตรงกับความต้องการของงานจริงๆ

8.กระบวนการสรรหาจากภาระกิจที่กำหนด (Mission Recruitment Project)

กระบวนการสรรหานี้อาจคล้ายกับการแก้โจทย์ปัญหาอยู่เหมือนกัน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นการตั้งโจทย์แบบเปิดเผย เข้าใจได้ง่ายๆ และเปิดให้ผู้สมัครนำเสนอวิธีการแก้ไขปัญหานั้นๆ ในแนวทางที่น่าสนใจตามแบบของตน หรือบางครั้งก็เป็นการบอกผลว่าต้องการได้ผลลัพธ์อย่างนี้ ให้ผู้สมัครทุกคนหาวิธีที่จะได้ผลลัพธ์อย่างนี้ เป็นต้น การตั้งภาระกิจให้ทำนั้นถือเป็นการวัดศักยภาพได้ดีอีกวิธีหนึ่ง และสามารถวัดการทำงานได้ในระยะเวลาจำกัดได้ดีอีกด้วย

ประโยชน์ของการคัดสรรพนักงานด้วยวิธีการสร้างสรรค์ (Creative Recruitment)

การสร้างสรรค์กระบวนการคัดสรรในรูปแบบใหม่ๆ นั้นมีประโยชน์ในหลายด้านต่อองค์กร ที่คุ้มค่าต่อการลงทุนและประสบความสำเร็จได้เป็นอย่างดีทีเดียว

  • มีวิธีการคัดสรรเป็นแบบเฉพาะตัวของตัวเอง : บางองค์กรต้องการคุณลักษณะคนที่ต่างกัน และองค์กรเองจะรู้ว่าบุคคลไหนที่เหมาะกับตน ดังนั้นองค์กรสามารถสร้างสรรค์วิธีการคัดสรรเฉพาะตัวขึ้นมาได้ เพื่อเป็นวิธีการคัดพนักงานที่มีประสิทธิภาพในรูปแบบเฉพาะตัว
  • สร้างแรงจูงใจให้เหล่าคนเก่งอยากมาร่วมงานด้วย : คนที่มีความสามารถมักชอบความท้าทาย และมักอยากร่วมงานกับองค์กรที่น่าสนใจ การมีวิธีการสรรหาตลอดจนคัดสรรที่สร้างสรรค์นั้นจะช่วยดึงดูดคนที่มีความสามารถให้มาสมัครงานกับองค์กรต่างๆ ได้ดีทีเดียว และทำให้องค์กรมีตัวเลือกที่มีคุณภาพมากขึ้นอีกด้วย
  • องค์กรมีสิทธิ์ได้คนเก่งและมีความสามารถมาร่วมงานกับองค์กร : เมื่อมีคนที่มีความสามารถและมีศักยภาพมาเป็นตัวเลือกมากขึ้นองค์กรก็มีสิทธิ์ที่จะได้คนเก่งและมีความสามารถมาร่วมงานได้มากขึ้นด้วย และทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพ
  • องค์กรมีศักยภาพมากขึ้น : การได้คนเก่งมีความสามารถมาร่วมงานย่อมทำให้การทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น และทำให้องค์กรมีศักยภาพมากขึ้น รวมถึงส่งเสริมให้องค์กรประสบความสำเร็จเพิ่มขึ้นได้ด้วย
  • สร้างแบรนด์องค์กรให้เป็นที่ยอมรับและเชื่อถือ : การมีกระบวนการคคัดสรรที่สร้างสรรค์ในยุคปัจจุบันนั้นสามารถนำมาใช้ประชาสัมพันธ์องค์กรได้ทั้งทางตรงและทางอ้อม สร้างการจดจำให้กับองค์กรได้ ตลอดจนสร้างความน่าเชื่อถือให้องค์กรได้ดีด้วยเช่นกัน นอกจากจะได้รับผลประโยชน์ทางด้านการสรรหาบุคลากรแล้ว องค์กรยังได้รับผลประโยชน์ด้านอื่นๆ ได้ด้วย รวมถึงสามารถสร้างยอดขายของผลิตภัณฑ์ได้เช่นกัน
  • ฝ่ายบุคคลมีประสิทธิภาพขึ้นและได้รับความน่าเชื่อถือ : ฝ่ายที่รับผิดชอบด้านนี้โดยตรงก็คือฝ่ายบุคคล การที่ฝ่ายบุคคลสามารถสร้างสรรค์การคัดสรรได้อย่างน่าสนใจนั้นก็จะทำให้เป็นที่น่าเชื่อถือของผู้สมัคร ตลอดจนบริษัทอื่นๆ และช่วยส่งเสริมให้ฝ่ายบุคคลทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพขึ้นด้วย
  • เป็นสถาบันผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพสู่สังคม : หากพนักงานจากองค์กรออกไปทำงานที่องค์กรอื่น พนักงานที่มีศักยภาพเหล่านี้ก็ยังสร้างชื่อเสียงให้องค์กรได้ด้วย ด้วยการเป็นพนักงานที่มีศักยภาพที่ผ่านการฝึกฝนและทำงานจากองค์กรที่ได้รับความน่าเชื่อถือ ไว้วางใจ ทำให้สร้างชื่อเสียงกลับสู่องค์กรได้อีกทาง

บทสรุป

ในยุค Career Disruption ที่ทุกอย่างมีการเปลี่ยนแปลงไปหมด โลกของการทำงานมีการแข่งขันกันสูงมากขึ้น โดยเฉพาะการแข่งขันกันดึงคนที่มีศักยภาพมาร่วมงานกับองค์กรให้ได้มากที่สุดนั้นเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง และองค์กรที่ได้คนมีศักยภาพไปร่วมงานด้วยก็มีโอกาสประสบความสำเร็จได้สูงเช่นกัน การสร้างสรรค์วิธีสรรหาตลอดจนคัดสรรพนักงานนั้นจึงเป็นอีกวิธีการหนึ่งที่จะช่วยเพิมศักยภาพให้กับองค์กรในหลากหลายด้าน และทำให้องค์กรสามารถได้คนเก่งและมีพรสวรรค์มาร่วมงานได้มากกว่าวิธีปกติในรูปแบบเดิมๆ อีกด้วย เมื่อองค์กรได้คนที่มีความสามารถและศักยภาพมาร่วมงานแล้ว โอกาสที่องค์กรจะประสบความสำเร็จก็ตามมาเช่นกัน

สามารถอ่านบทความน่าสนใจอื่นๆ เพิ่มเติมได้ ที่นี้


ที่มา : th.hrnote.asia

 2815
ผู้เข้าชม
ทำเว็บธุรกิจ ทําเว็บขายของ ออกแบบเว็บไซต์ เว็บไซต์สำเร็จรูป SoGoodWeb

HR Articles

ขึ้นชื่อว่า "คน" ยังไงคงไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ยิ่งในยุคธุรกิจขยายตัว ตอบรับกับการ เปลี่ยนแปลงรอบด้านด้วยแล้ว การวางกลยุทธ์ธุรกิจย่อมหลีกไม่พ้นต้องวางกลยุทธ์การบริหารงานบุคคล และพัฒนาคนด้วยเช่นกัน ล่าสุด ดีลอยท์ฯได้เปิดเผยผลสำรวจที่เรียกว่า "Talent Edge 2020" ซึ่ง ร่วมทำกับฟอร์บส อินไซต์ส เพื่อสำรวจความคิดเห็นของผู้บริหารและพนักงานในประเด็นต่าง ๆ ครอบคลุม 400 บริษัทที่มีขนาดธุรกิจมูลค่ามากกว่า 500 ล้านเหรียญสหรัฐ ในอเมริกาเหนือ, เอเชีย-แปซิฟิก, ยุโรป, ตะวันออกกลาง และแอฟริกา
3889 ผู้เข้าชม
สำหรับเจ้าของธุรกิจที่มีการจดทะเบียนเข้าอยู่ในรูปบริษัทแล้ว เมื่อมีรายจ่ายต่างๆ ที่เจ้าของธุรกิจจำเป็นต้องว่าจ้างให้ทำของหรือใช้บริการ ยกตัวอย่าง จ้างฟรีแลนซ์ (บุคคลทั่วไป) ให้ทำเว็บไซต์ ออกแบบกราฟิก จ้างช่างมาซ่อมแอร์ หรือการว่าจ้างบริษัทต่างๆ เช่น บริษัทบัญชี บริษัทออกแบบโฆษณา หรือค่าบริการที่จำเป็นต่างๆ เช่น ค่าอินเทอร์เน็ต ค่าประกันภัยสินค้า ค่าประกันขนส่ง ค่าเช่าออฟฟิศ ฯลฯ รายจ่ายเหล่านี้ ในฐานะเจ้าของธุรกิจซึ่งเป็นผู้ว่าจ้างจะมีหน้าที่ต้องหัก ณ ที่จ่าย ของเงินค่าจ้างของผู้ให้บริการออกมาด้วย โดยที่เงินนี้จะไม่ใช่เงินของเรา แต่เป็นเงินที่ต้องนำส่งกรมสรรพากร
6601 ผู้เข้าชม
ในภาวะเศรษฐกิจแผ่วลงทุกวัน เช่นในปีสองปีที่ผ่านมาจนลากยาวมาปีนี้ หากองค์กรมุ่งหมายให้อยู่รอดแล้วก็มักหนีไม่พ้นที่จะต้องลดงบประมาณค่าใช้จ่ายทุกทาง หลายองค์กรรัดเข็มขัดไม่เพิ่มอัตรากำลังคนเพื่อรองรับงานใหม่ แต่เน้นเพิ่มงาน (Job Enlargement) ให้กับพนักงานคนเก่าที่ยังทำงานอยู่แทนที่จะรับคนใหม่เข้ามา (เรียกว่ามุ่งใช้คนให้คุ้มค่าเงินที่ว่าจ้างให้มากที่สุด) ในขณะที่หลายองค์กรเลือกตัดลดงบประมาณฝึกอบรมพัฒนาบุคลากรลง
6285 ผู้เข้าชม
แนวโน้มของเทคโนโลยีสารสนเทศในอนาคต การพัฒนาเทคโนโลยีสารสนเทศในคริสต์ศตวรรษที่21มีแนวโน้มที่จะพัฒนาคอมพิวเตอร์ให้มี ความสามารถใกล้เคียงกับมนุษย์ เช่น การเข้าภาษาสื่อสารของมนุษย์ โครงข่ายประสาทเทียม ระบบจำลอง ระบบเสมือนจริง โดยพยายามนำไปใช้ให้เกิดประโยชน์มากขึ้นลดข้อผิดพลาดและป้องกันไม่ให้นำไป ใช้ในทางที่ไม่ถูกต้องหรือผิดกฎหมาย แนวโน้มในด้านบวก • การพัฒนาเครือข่ายคอมพิวเตอร์ โดยเฉพาะเครือข่ายอินเทอร์เน็ตที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางสังคม ช่องทางการดำเนินธุรกิจ เช่น การทำธุรกรรมอิเล็กทรอนิกส์ การพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การผ่อนคลายด้วยการดูหนัง ฟังเพลง และบันเทิงต่างๆ เกมออนไลน์ • การพัฒนาให้คอมพิวเตอร์สามารถฟังและตอบเป็นภาษา พูดได้ อ่านตัวอักษรหรือลายมือเขียนได้ การแสดงผลของคอมพิวเตอร์ได้เสมือนจริง เป็นแบบสามมิติ และการรับรู้ด้วยประสาทสัมผัส เสมือนว่าได้อยู่ในที่นั้นจริง • การพัฒนาระบบสารสนเทศ ฐานข้อมูล ฐานความรู้ เพื่อพัฒนาระบบผู้เชี่ยวชาญและการจัดการความรู้ • การศึกษาตามอัธยาศัยด้วยระบบอิเล็กทรอนิกส์ (e-learning) การเรียนการสอนด้วยระบบโทรศึกษา (tele-education) การค้นคว้าหาความรู้ได้ตลอด 24 ชั่วโมงจากห้องสมุดเสมือน (virtual library) • การพัฒนาเครือข่ายโทร คมนาคม ระบบการสื่อสารผ่านเครือข่ายไร้สาย เครือข่ายดาวเทียม ระบบสารสนเทศภูมิศาสตร์ ทำให้สามารถค้นหาตำแหน่งได้อย่างแม่นยำ • การบริหารจัดการภาครัฐสมัยใหม่ โดยการใช้เทคโนโลยีสารสนเทศและเครือข่ายการสื่อสารเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการ ดำเนินการของภาครัฐที่เรียกว่า รัฐบาลอิเล็กทรอนิกส์ (e-government) รวมทั้งระบบฐานข้อมูลประชาชน หรือ e-citizen
164973 ผู้เข้าชม
Get started for free today. DEMO FREE 60 DAYS
สร้างเว็บไซต์สำเร็จรูปฟรี ร้านค้าออนไลน์